ผู้เขียน หัวข้อ: ทดลองขับ Mazda MX-5 RHT ; วันสายฝนพรั่งโพรย by : J!MMY  (อ่าน 7691 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

admin

  • บุคคลทั่วไป

ทดลองขับ Mazda MX-5 RHT ; วันสายฝนพรั่งโพรย กับความรู้สึกแบบเปิดหลังคาที่พรั่งพรู....by : J!MMY





ถ้าเอารถเปิดประทุนมา แล้วเจอฝนตกนะ ฉันจะหัวเราะให้ฟันร่วงเลย

นั่นคือประโยคเด็ดจากคุณแม่ผมเองครับ เกิดขึ้นในทันทีที่รู้ว่า ลูกชายสุดที่รัก จะมีเหตุให้ต้องทดลองขับ
รถเปิดประทุนอย่าง มาสด้า MX-5 ใหม่ ที่มาพร้อมกับหลังคาแข็งพับได้ Retactable Hard Top หรือเรียกโดยย่อว่า RHT

แล้วคุณแม่ผมก็ได้หัวเราะจริงๆครับ แต่ฟันยังคงอยู่ครบ 32 ซี่
แน่ละ ฝนเจ้ากรรมดันเทกระหน่ำลงมาแทบจะทุกวันที่ผมใช้ชีวิตอยู่กับเจ้ารถสีแดงไวน์คันนี้
ชนิดที่ว่า ล้างรถเสร็จยังไม่ทันจะถึง 2 ชั่วโมง พระพิรุนท่านก็นึกสนุกปล่อยสายฝนเทลงมา
แต่แทนที่จะปล่อยลงมาเป็นพายุ เพื่อให้รถสะอาดเอี่ยมอ่องพอถูไถ แต่ใยท่านกลับปล่อยลงมา
แค่ระดับหยดแหมะ พอให้พื้นถนนทื่เต็มไปด้วยฝุ่น เปียกแฉะพอเป็นพิธี จนทำให้ล้อรถที่เหยียบผ่านเข้าไป
ดีดเอาฝุ่นธุลีเหล่านั้น ขึ้นมาแปะไว้บนตัวถังรถที่เพิ่งล้างเสร็จหมาดๆ









แต่ใช่ว่า โชคของผมจะไม่มีเลยเสียทีเดียว เพราะโอกาสที่จะได้ใช้งานระบบเปิดประทุนนั้น ก็มีอยู่เรื่อยๆ
โดยเฉพาะยามเย็น หลังจัดรายการวิทยุที่ AM1269 ช่วงบ่าย 3 - 5 โมงเย็น เสร็จ
ขณะขับมานั่งทานกาแฟกันที่ย่านซอยอารีย์ อันเป็นถิ่นประจำของผมไปเสียแล้ว
ในรอบเกือบสิบปีที่ผ่านมา สายตาผู้คนรอบข้างที่ได้พบเห็นรถคันนี้ ล้วนแล้วแต่มองพร้อมกับรอยยิ้ม





คือถ้าไม่ยิ้มเพราะมองว่า รถสวยดีเนอะ
ก็คงมองว่า ไอ้คนขับมันบ้าดีเนอะ...





เชื่อเถอะว่า ความคิดอย่างหลังหนะ ผุดขึ้นมาในหัวของผู้คนที่พบเห็นรถคันนี้ มากกว่าอย่างแรก





ก็แหงละ ขับรถเปิดประทุนในบรรยากาศหมอกควันมลพิษของ กทม. เนี่ยนะ?
แถมยังเป็นวันที่ฟ้าฝนไม่ค่อยอยากจะเป็นใจ ตกกระหน่ำลงมา จนน้ำท่วมขังเป็นหย่อมๆ
ชนิดที่ต้องถามหากันให้ขวักเลยว่า "ท่านอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม. ของเรา หายหัวหายตัวไปไหนกันเนี่ย?"





อ่ะ อ่ะ อย่าเถียงผมเลยะเถิด สายตาพวกท่าน มันฟ้องอยู่ อย่านึกว่าผมขับผ่านไปโดยไม่ได้แอบสังเกตเห็นนา





โดยเฉพาะในช่วงที่ผม ต้องขับเจ้า MX-5 คันนี้ ลุยน้ำ...ผมไม่รู้ว่าจะมีใครเคยเห็นรถสปอร์ต ไม่ว่าจะระดับราคาไหนก็ตาม
ที่เกินกว่า 1 ล้านบาท ต้องมาประสบชะตา(เวร)กรรม ให้ทำตัวเยี่ยงเรือที่ลอยคอไปตามสภาพการจราจร ที่ชวนให้นึกถึงว่า
กำลังนั่งเรือแจวอยู่ในคลองดำเนินสะดวกมากกว่า กำลังขับรถอยู่บนถนนศรีนครินทร์ ไปร่วมกับ
สารพัดรถราอีกมากมาย อยู่บ้างไหม?





ผมอยากถามพวกเขาเหล่านั้นจังเลยว่า คุณจะรู้สึกสมเพช หัวร่องอหาย หรือ อมยิ้มแกมสมน้ำหน้าสะใจเล็กๆ
กับผู้คนที่กำลังขับขี่รถสปอร์ตเหล่านั้นดี ....





แต่ที่แน่ๆ ผมรู้สึกไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ กับสายตาที่มองมาจากรถกระบะ วีโก้ และเอสยูวี อย่างฟอร์จูเนอร์ ที่ขับตามหลังผมอยู่
ในแทบทุกครั้งที่เราต่างต้องมาเจอกัน และผมต้องขับอยู่ข้างหน้า





มันทำให้ผมรู้สึกว่า ผมต้องคอยหลบให้กับการไล่ล่า ของ ตัว "อนาคอนดอม" ในหนังโฆษณาของ รถระบะ BT-50 ยังไงยังงั้น





ผิดกันก็แค่ว่า รถที่ผมขับอยู่ มันขับสนุกมากกว่าเจ้า BT-50 เยอะแยะตาแป๊ไก๋







นับตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 1989 อันเป็นวันแรกที่มาสด้า เปิดตัวรถสปอร์ตเปิดประทุน Mazda MX-5 รุ่นแรก
(ในญี่ปุ่น ทำตลาดด้วยชื่อ Eunos Roadster และ ในสหรัฐอเมริกา ขายในชื่อ Mazda Miata)
กลางงานชิคาโก ออโตโชว์ ที่สหรัฐอเมริกา
รถรุ่นนี้ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ๆ ให้กับทั้งมาสด้าและวงการรถยนต์โลก





โดยเฉพาะ การเป็นรถสปอร์ตที่ทำยอดขายสูงที่สุดในโลก จนต้องลงบันทึกไว้ในหนังสือ กินเนส บุ๊คส์ เวิล์ด ออฟเรคคอร์ด
และยังไม่มีใครลบสถิติลงได้จนถึงปัจจุบัน





รุ่นที่ 3 ของ MX-5 รหัสรุ่น NC เปิดตัวครั้งแรก เมื่อเดือนมีนาคม 2005 ในงานเจนีวา ออโตซาลอน





ด้วยความเป็นรถสปอร์ตคลาสสิกน้ำหนักเบา ที่พัฒนาออกแบบให้ใกล้เคียงกับความเป็นมาสด้ามากที่สุด ในสไตล์รถญี่ปุ่น
ผนวกกับการขับขี่สนุกสนาน ที่มาจากความเรียบง่าย พร้อมความสง่างาม เฉกเช่น ศิลปะการแสดงละครโบราณ “โนะ” (Noh)
ถูกแสดงออกผ่านทางท่วงท่าและลีลาที่เรียบง่าย หรือพิธีชงชา อันสื่อถึงความสุนทรียภาพได้อย่างงดงามในพื้นที่อันจำกัด
ดังนั้นแนวคิดของรถสปอร์ตขนาดเล็กที่เปี่ยมด้วยความสง่างาม และให้ความคล่องตัวในการใช้งานได้จริง จึงเป็นแนวคิดที่
ทุกๆ คนในมาสด้าตอบรับด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้





และความรู้สึกดังกล่าว ถูกถ่ายทอดผ่านแนวคิดที่เรียกว่า Jinba Ittai





Jinba Ittai คืออะไร?





ผู้จัดการโครงการพัฒนา Mazda MX-5 ใหม่ มร. ทาคาโอะ คิจิมา (Mr. Takao Kijima) บอกเล่าว่า
“เราได้เลือกพิธีกรรมด้านศิลปะของชาวญี่ปุ่น ที่เรียกว่า JInba Ittai เป็นเสมือนสัญลักษณ์ที่สามารถอธิบายถึงแนวคิดของเราได้อย่างดี
ในพิธีกรรมดังกล่าว พลธนูจะต้องขี่ม้าผ่านเป้า แล้วยิงธนูให้โดนเป้า





นั่นหมายความว่า หากจะยิงธนูให้เข้าเป้าที่ต้องการนั้น พลธนูและม้าจะต้องเคลื่อนไหวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ดังนั้นการสื่อสารซึ่งกันและกันระหว่างม้าและนักขี่ จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อที่จะแสดงออกถึงการผสมผสานจนเป็นหนึ่งเดียวกัน
หากเปรียบเทียบกับยุคสมัยศตวรรษที่ 21 แนวคิด JInba Ittai เปรียบได้กับความสัมพันธ์ระหว่างรถแข่งฟอร์มูลา-1
และนักแข่ง หรือ ความสัมพันธ์ระหว่างจักรยานยนต์สมรรถนะสูง และนักขับขี่ นั่นเอง





“JInba Ittai หมายถึงความสัมพันธ์ที่เป็นกันเองระหว่างผู้ขับขี่และตัวรถ ซึ่งเคยเป็นเป้าหมายในการพัฒนาเอ็มเอ็กซ์-5 รุ่นแรก
สำหรับมาสด้าแล้ว การสร้างรถสปอร์ตที่คำนึงแต่อัตราเร่งและความเร็วสูงสุด ไม่อาจมีความสำคัญเทียบเท่ากับการตั้งเป้าหมาย
เพื่อสร้างรถสปอร์ตที่ให้ความสนุกในการขับขี่อย่างแท้จริง”








จริงอยู่ว่า ด้วยแนวคิดนี้ ทำให้ MX-5 ใหม่ รหัสรุ่น NC ประสบความสำเร็จอย่างดี ทันทีที่ออกสู่ตลาด
แต่เมื่อความต้องการของผู้บริโภค เรียกร้องให้มาสด้า ทำเวอร์ชันหลังคาแข็งพับได้ออกมาขายเสียที
นั่นจึงเป็นที่มาของ MX-5 RHT คันนี้





หลังเปิดตัวรุ่น NC ไป 1 ปีพอดิบพอดี MX-5 RHT ก็ได้เวลาเปิดตัวครั้งแรกเมื่อช่วงงานเจนีวา ออโตซาลอน ปี 2006
แต่กว่าจะนำเข้ามาทำตลาดในบ้านเราได้ เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงงานบางกอกอินเตอร์เนชันแนลมอเตอร์โชว์
ที่ไบเทค บางนา ปลายเดือนมีนาคม 2007 นั่นก็ปาเข้าไปอีก 1 ปีเต็มๆ








ถือเป็นครั้งแรกที่ มาสด้า ยอมทำตามกระแส หลังคาไฟฟ้าพับได้ แม้จะทำให้น้ำหนักตัวรถเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อยก็ตาม





แต่ด้วยความพยายาม ออกแบบให้ชุดหลังคามีน้ำหนักเบาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทำให้โครงสร้างตัวถังเดิม
ที่มีความยาว 3,995 มิลลิเมตร กว้าง 1,720 มิลลิเมตร สูง 1,255 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,330 มิลลิเมตร นี้
มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีกเพียงประมาณ 40-50 กิโลกรัมเท่านั้น





น้ำหนักที่ว่านี้ มันก็พอๆกับการมีสาวหุ่นเอวบางร่างน้อย ขึ้นไปนั่งอยู่บนรถกับคุณด้วยอีกคนเท่านั้นเอง
เพียงแต่ว่า ร่างของเธอไม่มีอยู่จริง หากแต่ แปลงเป็นน้ำหนักของชุดหลังคาพับได้ไปแทน








นอกเหนือจากการเพิ่มชุดหลังคาแข็งพับได้เข้ามาแล้วนั้น เราแทบจะไม่เห็นความแตกต่างอื่นใด
จากรถรุ่นเดียวกันนี้ ที่ผมเคยลองขับ ที่เขาใหญ่ และไล่บี้ถ่ายภาพสปายช็อต โตโยต้า แคมรี รุ่นปัจจุบัน
ตอนที่มันยังไม่เปิดตัว ช่วงปลายเดือนธันวาคม ปี 2005 แต่ประการใด





ยิ่งถ้าคุณเปิดประตูเข้าไปนั่งในห้องโดยสารที่เตี้ยเสียจนแทบจะติดพื้นถนนกันอยู่รอมร่อแล้ว
คุณจะยิ่งหาความแตกต่างใดๆ ไม่เจอเลยจริงๆ





ไม่ว่าจะเป็นเบาะนั่ง ที่รองรับสรีระได้ดี นั่งนานๆ ยังไม่ค่อยปวดหลังเท่าใดนัก สำหรับคนขับอย่างผม
แต่สำหรับคนนั่งแล้วอาจมีเสียงบ่นบ้างเล็กน้อยในเรื่องนี้








ส่วนแผงหน้าปัด ก็ไมได้แตกต่างอะไรจากรถรุ่นปัจจุบันนักเลย มีระบบปรับอากาศอัตโนมัติมาให้
ช่องแอร์เป็นแบบ วงกลม แถมมีช่องแอร์ขนาดเล็กๆ ถัดลงมา อยู่ข้างๆ แผงควบคุมกลาง ทั้งฝั่งคนขับและผู้โดยสาร
แผงคอนโซลกลางที่ยกสูงขึ้นมาจนเหมือนเป็นที่วางแขนในตัว มีขนาดเตี้ยไปนิดสำหรับคนเอเซียอย่างผม
แต่น่าจะกำลังพอดีสำหรับข้อศอกของฝรั่งมังค่าตัวโตๆ





สวิชต์กระจกหน้าต่างอยู่ในตำแหน่งถัดมาจากคันเกียร์ พร้อมช่องวางแก้ว แบบมีฝาเลื่อนเปิด-ปิดได้







ชุดมาตรวัดในยามค่ำคืน





เมื่อติดเครื่องเข็มมาตรวัดจะกระดิกขึ้นไปเล็กน้อย
ไม่ได้กวาดขึ้นไปจนสุด แล้วถอยร่นกลับมาตั้งหลักใหม่ ตามสมัยนิยม
เหมือนอย่าง รถในตระกูลซูบารุ และ อีซูซุ ดีแมกซ์ /mu7








แต่สิ่งที่อยากจะตั้งข้อสังเกตก็คือ วัสดุหุ้มพวงมาลัย ที่มาสด้าคุยว่า ทำการศึกษามาเป็นอย่างดี
เพื่อลดปัญหาลื่น จับไม่อยู่ เมื่อมือของผู้ขับขี่มีเหงื่อซึม





รถคันที่ทดลองขับนี้ ผ่านการใช้งานในระดับ เกินกว่า 15,000 กิโลเมตร และผ่านมาหลายมือหลายเท้า
ทั้งนักข่าวและลูกค้า ผลก็คือ บริเวณพวงมาลัยนั้น เริ่มจะมีความลื่นมือคล้ายคลึงกับรถญี่ปุ่นที่ใช้หนังสังเคราะห์
มาหุ้มพวงมาลัยเสียแล้ว....







ส่วน ชุดเครื่องเสียงจาก BOSE พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย
ยังคงให้อรรถรสจากเสียงดนตรี ที่ดีเหมือนเดิม
เมื่อคุณจอดสงบอยู่กับที่ หรือ ใช้ความเร็วไม่สูงมากนัก





แล้วถ้าในความเร็วที่สูงขึ้นละ?





ผมไม่แปลกใจที่มาสด้าจะติดตั้งระบบเพิ่มระดับเสียงตามความเร็วรถ มาให้ด้วย
เพราะต่อให้มาสด้าบอกว่า พยายามลดเสียงดังที่เกิดจากกระแสลมปะทะ ขณะขับขี่
รวมทั้งเสียงไม่พึงประสงค์อื่นๆ ที่จะเล็ดรอดเข้าสู่ห้องโดยสารยังไง





แต่พอเอาเข้าจริง เสียงรบกวนในห้องโดยสารจากกระแสลมนั้น
ยังไง๊ ยังไง ก็ยังดังกระหึ่มอยู่ดี สายลมที่ตัวรถแหวกผ่าน พากันบรรเลงคลื่นเสียง
อย่างสนุกสนาน จนแทบอยากจะตั้งชื่อวงให้เป็น The Wind Chamble Orchrestra
ถ้าคิดจะพูดคุยกัน คุณต้องเร่งเสียงตัวเองให้ดังขึ้น เมื่อใช้ความเร็วเกินระดับ 60 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป





ก็รถเขาออกแบบมาให้คุณขับกินลมชมสะพาน...เดี๋ยวๆๆ ไม่ใช่ๆ นั่นมันชื่อผับแอนด์เรสเตอรองต์ นี่หว่า





เอาใหม่...





ก็รถเขาออกแบบมาให้คุณขับกินลมชมวิว กับเพื่อน หรือแฟนที่คุณรักนี่นา ไม่ใช่ออกแบบมา
ให้เต็มไปด้วยความสงบในห้องโดยสาร แบบที่นิสสัน เทียนา และเชฟโรเลต ออพตร้า พยายามโฆษณาอยู่สักหน่อยนึง





แต่ถ้าลดเสียงรบกวนในขณะปิดหลังคาลงกว่านี้ได้สักหน่อยนึงนี่ จะดีมากๆ
คือผมไม่ต้องการให้มันเงียบสนิทดุจรถซีดานขนาดใหญ่ เพราะไม่เช่นนั้น คงหนีไปซื้อรถซีดานขับเล่นเอื่อยๆดีกว่า
แต่ต้องการเห็นเพียงแค่ว่า ขณะใช้ความเร็วระดับ 100-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง เสียงพูดคุยของคนขับและผู้โดยสาร มันควรจะยังอยู่ในระดับ
เดียวกัน หรือใกล้เคียงกันกับความเร็ว 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไม่ใช่ต้องพูดให้ดังขึ้น จนแทบจะตะเบ็งเสียงใส่กันในความเร็วที่สูงขึ้นไป








สิ่งเดียวที่เรียกว่าแตกต่างกันอย่างชัดเจน ของรุ่นหลังคาผ้าใบมาตรฐาน และรุ่น RHT
ก็คือ หลังคาแข็งพับได้ด้วยไฟฟ้านั่นเอง





วิธีการยกหลังคาแข็งออก ทำอย่างไร?





ไม่ยากเลย แค่เพียงกดปุ่ม Release บริเวณชุดล็อกหลังคา
ใกล้กับกระจกมองหลัง แล้วดึงโยกสลักล็อกขนาดใหญ่มาทางด้านหลังดังรูป
บอกไว้สักนิดว่า ชุดสลักล็อกหลังคานั้น ไม่ว่าจะเป็นรุ่น RHT หรือรุ่นหลังคาผ้าใบ
จะเหมือนกันเปี๊ยบเมื่อมองจากภายนอก







แต่
รุ่น RHT นี้ไม่ต้องปลดล็อก ชุดหลังคา บริเวณด้านหลังชุดเบาะทั้ง 2 แต่อย่างใด
เมื่อปลดล็อกเรียบร้อยแล้ว
เพียงเท่านี้ ก็เล่นสนุกกับการเปิดหลังคาได้แล้วด้วยการกดปุ่ม ฝั่งขวา บนคอนโซลกลาง ในรูปนี้
และต้องกดค้างไว้ จนกว่ากระบวนการต่างๆจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ ไม่เช่นนั้น ระบบจะร้องเตือน
และหยุดการทำงานของหลังคาไว้ทันที อันเป็นเหตุผลในด้านความปลอดภัย
เผื่อมีเด็กบ้าที่ไหน เอามือมาสอดลงไปเล่นๆในระหว่างพับหลังคา จะได้ไม่โดนหนีบมือ
ร้องไห้จ้าแล้วต้องพาไปหาหมอ ลงหน้าหนึ่ง นสพ.หัวเขียว หัวบานเย็น หรือหัวไหนๆ









....ฝาครอบพลาสติกขนาดใหญ่ จะยกตัวและเลื่อนถอยหลัง.








จากชั้น ชุดหลังคา จะถูกแบ่งแยกออกเป็น 3 ชิ้น







ึืคือชิ้นครอบศีรษะ บังแดดบังฝน
ชิ้นเสาโครงสร้างหลัก ค้ำยึดชิ้นแรก
และชิ้นกระจกบังลมด้านหลัง จะแยกตัวออก
และพับเก็บตามกลไกที่ออกแบบมา










และเมื่อพับเก็บเรียบร้อยแล้วแผงพลาสติกจะเลื่อนกลับมา และลดระดับปิดครอบทับ อย่างที่เห็น





ขั้นตอนทั้งหมดนี้ ใช้เวลาเพียง 12 วินาทีเท่านั้น จับเวลาแล้วไม่ขาดไม่เกิน





ระบบจะแจ้งเตือนด้วยเสียงปี๊บบบ ยาวๆหนเดียว
เพียงเท่านี้ ทุกอย่างก็เรียบร้อย





แต่ถ้าจะปิดหลังคา ก็เพียงแต่จอดรถนิ่งๆ เข้าเกียร์ N หรือเกียร์ P ไว้
ทำอย่างไรก็ได้ให้รถหยุดนิ่งๆ ไม่เคลื่อนที่ แล้วกดปุ่มบนคอนโซล ฝั่งซ้าย
หลังคาจะถูกยกเลื่อนขึ้นมาปิดครอบทับไว้เช่นเดิม





เมื่อเสร็จขั้นตอนแล้วระบบจะเตือนด้วยเสียงปี๊บบบ หนึ่งครั้ง
ถึงตอนนั้น คุณก็เพียงแต่ โยกคันล้อกหลังคากับเสากรอบกระจกหน้าไว้
ดังในภาพนี้ เท่านั้นเอง





ง่ายดาย และไม่ต้องเสียเวลาไปไหว้วานญาติโกโหติกาในบ้านมาช่วยกัน
ยกเข้ายกออกหลังคาแข็งแบบเดิมที่หนักอึ้ง แถมถ้าพลาดท่า หลุดลื่นจากมือไป
ตกกระแทกเมื่อใดก็เป็นรอยเสียของเมื่อนั้น








หน้าตาของชุดควบคุมและมอเตอร์เปิด-ปิดหลังคาเป็นแบบนี้








ด้านหลังเบาะนั่ง มีช่องเก็บของพร้อมฝาปิด อันเป็นที่สิงสถิตย์ ของ ที่เปิดฝาถังน้ำมัน
ซึ่งเปิดด้วยวิธีดึงเข้าหาตัว เข้าใจหาที่ซ่อนมากไปหน่อยหรือเปล่า
แต่จะว่าไปก็ดีแล้ว เพื่อความปลอดภัย เพราะไม่เช่นนั้น
สะดวกต่อการที่ใครจะแอบหทางเปิดฝาถัง ยัดสิ่งไม่พึงประสงค์เข้าไปกลั่นแกล้งได้





ช่องเก็บของที่ว่า ใส่ กล่องซีดี ได้ตามสมควร
หรือจะเก็บกล้องถ่ายรูปเอาไว้ แล้วล็อกกุญแจก็ยังทำได้





มาสด้าติดตั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้าและด้านข้างมาให้ รวม 4 ใบ
รายละเอียดอื่นๆ เชิญไปเดินเล่นค้นหากันเอาเอง




 
*** รายละเอียดทางเทคนิค และการทดลองขับ***


เครื่องยนต์ ยังคงเป็นรหัส LF-VE ได้รับการพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของเครื่องยนต์ MZR ถูกติดตั้งเชื่อมกับระบบขับเคลื่อนล้อหลัง
โดยวางตำแหน่งเครื่องยนต์ถอยร่นเข้าไปใกล้ตอนกลางของตัวรถให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ในลักษณะที่เรียกว่า Front-Midship





ความยาวเครื่องยนต์ ลดลงถึง 69 มิลลิเมตร (2.72 นิ้ว) เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ในรุ่นเดิม
เป็นผลมาจากการออกแบบชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องยนต์อย่างรอบคอบ การติดตั้งเครื่องยนต์เยื้องไปทางขวา 10 องศา
ช่วยเพิ่มพื้นที่ห้องเครื่องยนต์ให้เพียงพอสำหรับการติดตั้ง





ฝาสูบและเสื้อสูบทำจากอะลูมีเนียม iron cylinder liners, ระบบขับเคลื่อนวาล์วแบบ ดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟต์
(DOHC ; Double-Overhead Camshafts) พร้อมระบบแปรผันวาล์วไอดี ระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ ซีเควนเชียล
ควบคุมการทำงานด้วยอีเล็กโทรนิกส์ และระบบจุดระเบิดแบบ coil-on-plug





มีระบบแปรผันทางเดินไอดี Variable Intake System (VIS) ซึ่งมีการทำงานสองรูปแบบ เพื่อสร้างแรงบิดให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ระบบ VIS ถูกปรับแต่งให้เน้นความสำคัญในการลดเสียงประสานของเครื่องยนต์ในรอบการทำงานที่สูง
เพื่อให้เสียงเครื่องยนต์ดังคำรามอย่างมีชีวิตชีวา เครื่องยนต์ MZR สำหรับตลาดยุโรป จะมีวาล์ว swirl-control valves
ติดตั้งบริเวณท่อทางเดินไอดี ใกล้ฝาสูบเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่ในสภาพอากาศหนาวเย็น
และลดมลพิษอันเกิดจากการเผาไหม้ในรอบต่ำ ท่อร่วมไอเสียถูกติดตั้งในตำแหน่งด้านล่างฝั่งขวาของตัวเครื่องยนต์





อัตราส่วนกำลังอัดอยู่ที่ 10.8:1 ความสูงกระบอกสูบ 83.1 มิลลิเมตร (3.27 นิ้ว) ช่วงชัก 87.5 มิลลิเมตร (3.44 นิ้ว)
ระดับของการเปิด-ปิดวาล์วไอดีจะแปรผันอยู่ที่ระดับ 30 องศา (หากวัดที่แคมชาฟต์) ชุดปรับตั้งวาล์วเป็นแบบ
แผ่นชิม บำรุงรักษาต่ำ ลูกสูบเคลือบด้วยสาร molybdic anti-friction compound เพื่อลดความสึกหรอจาก
การเสียดสีในห้องเผาไหม้





พละกำลังของเวอร์ชันญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา
อยู่ที่ 170 แรงม้า ที่ 6,700 รอบ/นาทีสำหรับเกียร์ธรรมดา 5 และ 6
จังหวะ และ 166 แรงม้าสำหรับรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะแบบ
Activematic ขณะที่แรงบิดสูงสุดเท่ากันที่ 19.3 กก.-ม. ที่ 5,000
รอบ/นาที


แต่ละกำลังสำหรับเวอร์ชันไทย อยู่ที่ 160 แรงม้า (PS) ที่ 6,700 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 188 นิวตันเมตร (19.2 กก.-ม.) ที่ 5,000 รอบ/นาที








เวอร์ชันไทย จะมีเฉพาะ เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะแบบใหม่ พร้อมโหมดบวก/ลบ Activematic ส่งกำลังสู่ล้อคู่หลัง
ที่ได้รับการปรับปรุงให้มีอัตราทดช่วงกว้างขึ้น เพื่อให้ประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น. จากรถรุ่นเดิม
เกียร์ 1 ถูกปรับอัตราทดให้ต่ำกว่ารุ่นที่แล้ว 31 เปอร์เซนต์ เพื่อเรียกพละกำลังตอนออกตัวได้เร้าใจยิ่งขึ้น
อัตราทดเกียร์ 6 ถูกปรับให้สูงขึ้น 21 เปอร์เซนต์จากเกียร์สูงสุดของรุ่นก่อน เพื่อให้เกิดความเงียบ
และความราบรื่นในการขับขี่ต่อเนื่องยามเดินทางไกล





เปลี่ยนเกียร์เล่นได้เองทั้งที่คันเกียร์....








และบนแป้นบวก/ลบ Paddle Shift ด้านหลังพวงมาลัย
แป้นด้านหลังพวงมาลัย มีไว้เพื่อเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ขึ้นสูง
ส่วนปุ่มกดด้านหน้า บนพวงมาลัย มีไว้เพื่อเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำสำหรับการเร่งแซง
ซึ่งในยามค่ำคืน จะมีไฟดวงเล็กๆส่องที่แป้นเกียร์ให้เห็นอีกด้วย
 





เรายังคงทดลองจับเวลา ด้วยวิธีการเดิม คือ นั่ง 2 คน เปิดแอร์ และเปิดระบบไฟหน้า และทดลองจับเวลา กันในช่วงกลางคืน
เพื่อความปลอดภัยของผู้ร่วมสัญจรบนท้องถนนในยามกลางวัน
ผู้ร่วมทดลองคราวนี้ คือ น้องกล้วย Login "น้องชายคนเล็ก" สมาชิกเว็บไซต์ Pantip.com ห้องรัชดา
ซึ่งเป็นห้องที่พูดคุยกันเรื่องรถยนต์ น้ำหนักตัว 47 กิโลกรัม รวมกับผู้ขับ น้ำหนักตัว 90 กิโลกรัม





แต่คงต้องขอแจ้งกันเล็กน้อยว่า
เนื่องจากคราวก่อน ที่รีวิวรุ่นหลังคาผ้าใบเอาไว้
เป็นตัวเลขจากการอ่านบนมาตรวัด และมีความผิดเพี้ยนกันไปจากความจริงอยู่บ้าง






ดังนั้น ตัวเลขที่อยู่ในบทความนี้ จะเป็นตัวเลขที่เกิดจากการทดลองขับ และจับเวลาจริง
อ่านข้อมูลจากมาตรวัดโดยละเอียด ซึ่ง เป็นความจริงมากกว่าตัวเลขในบทความเดิมนั้น
หากจะอ้างอิงตัวเลขกัน ขอให้ใช้ตัวเลขในบทความนี้ แทนที่ตัวเลขในบทความเดิมครับ





และต่อไปนี้คือ ผลลัพธ์ที่ได้




**อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.**





ครั้งที่
1........10.06 วินาที
2........10.21 วินาที
3........10.16 วินาที
4........10.14 วินาที





เฉลี่ย......10.14 วินาที





-----------------------------------------





**อัตราเร่ง 80-120 กม./ชม.** หรือช่วงเร่งแซงทั่วไป
กดคันเร่งจนจมสุดทันที จาก 80 กม./ชม. ที่เกียร์ 6 เพื่อให้ระบบเกียร์ คิ๊กดาวน์ เปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ลงมายังเกียร์ 2 มีดังนี้





ครั้งที่
1........7.35 วินาที
2........7.37 วินาที
3........7.37 วินาที
4........7.45 วินาที





เฉลี่ย......7.38 วินาที


-----------------------------------------





**รอบเครื่องยนต์ที่เกียร์ 6 อันเป็นเกียร์สูงสุด **





ความเร็ว 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้รอบเครื่องยนต์ 1,900 รอบ/นาที
ความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้รอบเครื่องยนต์ 2,100 รอบ/นาที
ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้รอบเครื่องยนต์ 2,300 รอบ/นาที





-----------------------------------------





**ความเร็วสูงสุด ที่วัดได้ในแต่ละเกียร์ อ่านจากมาตรวัดบนแผงหน้าปัด**





(หน่วย กิโลเมตร / ชั่วโมง ที่ รอบเครื่องยนต์/นาที)





เกียร์ 1.......40 @ 6,400
เกียร์ 2.......80 @ 6,400
เกียร์ 3.....115 @ 6,400
เกียร์ 4.....165 @ 6,400
เกียร์ 5.....205 @ 5,500





-----------------------------------------





***ความเร็วสูงสุด***





205 กิโลเมตร/ชั่วโมง ณ รอบเครื่องยนต์ 5,500 รอบ/นาที ที่เกียร์ 5









ผมยังคงยืนยันว่า แม้จะใส่หลังคาไฟฟ้าพับได้เพิ่มเข้าไป
แต่ MX-5 RHT คันนี้ ยังคง ขับสนุก ในแบบ Jinba Ittai ที่ มร.ทาคาโอะ คิจิมา (Mr.Takao Kijima)
พยายามจะบอกเรา ได้อย่างชัดเจน





ไม่ใช่แค่อัตราเร่งจากเครื่องยนต์ ที่พุ่งทะยานไปอย่างฉับไว
เพียงอย่างเดียว
เกียร์อัตโนมัติืในรุ่นใหม่นี้ ไม่ได้ทำงานชักช้าอืดอาด หรือหน่วงจนน่าเกลียดเหมือนรุ่นก่อนๆ แต่อย่างใด
ทว่า กลับช่วยส่งพละักำลัง ลงสู่ล้อคู่หลังอย่างว่องไว
อัตราเร่างนั้น สำหรับเกียร์อัตโนมัติแล้ว ถือเป็นตัวเลขที่ใช้ได้
ไม่เลวร้าย





เพียงแต่เชื่อขนมกินได้ว่า ถ้าเป็นเกียร์ธรรมดา เราน่าจะได้เห็นตัวเลขที่ดีกว่านี้กัน อย่างน้อยๆ ก็ 8 - 9 วินาทีต้นๆ






กระนั้น ความดิบเถื่อนก็ยังพอมีให้สัมผัสกันอยู่อย่างครบถ้วน
เพียงแต่มาในมาดที่สุขุมขึ้น เอาใจสาวๆมากขึ้น





การบังคับเลี้ยว ด้วยพวงมาลัย ที่เฉียมคมฉับไว
ผมแทบไม่ต้องบ่นในเรื่องของน้ำหนักพวงมาลัยเลย
ไม่ว่าจะเป็นย่านความเร็วไหนก็ตาม
พวงมาลัยแบบนี้ละ ที่สมบูรณ์มากที่สุด สำหรับรถสปอร์ตในระดับราคาแบบนี้





ขณะที่เคลื่อนตัวในเมืองก็ยังมีน้ำหนักที่ดี ไม่หนักหรือเบาจนเกินไป
และไม่ใช่่พวงมาลัยที่หนักอึ้งในย่านความเร็วต่ำ อย่าง มินิ คูเปอร์ หรือ BMW 330i








ส่วนระบบกันสะเทือนนั้น





ด้านหน้าเป็นแบบปีกนกคู่ ดับเบิลวิชโบน (double-wishbone) หรือที่รู้จักกันในชื่อระบบกันสะเทือนแบบ Unequal-length Control Arm ที่มีความยาวปีกนกไม่เท่ากัน เหมือนกับที่เคยใช้ในรุ่นที่ผ่านมา แต่มีการปรับเปลี่ยนมุมเรขาคณิตใหม่ โดยมุ่งความสนใจไปที่ประสิทธิภาพในการควบคุมรถ แกน Control arms มีความยาวเพียงพอที่จะสร้างความแม่นยำในการปรับมุมโท มุมแคสเตอร์ และแคมเบอร์ (ระยะหุบและกางออกของล้อ) ซึ่งส่งผลให้ล้อมีการเคลื่อนไหวในแนวดิ่ง ขึ้น-ลง จุดยึดของช่วงล่างถูกเพิ่มความแข็งแกร่งเพื่อต้านทานแรงกดดันจากแรงเหวี่ยง
ส่วนช็อกอัพ ก็มีการปรับปรุง ให้ซับแรงสะเทือนในจังหวะยุบตัว ได้ดีกว่าเดิม





ส่วนด้านหลังนั้น เป็นแบบมัลติลิงค์ ที่พัฒนาขึ้นใหม่ แขนยึดทั้ง 5 จุดสำหรับล้อหลัง แต่ละข้าง แขนยึดเหล่านี้ได้รับการออกแบบทางเรขาคณิตให้มีความเที่ยงตรงและแม่นยำสูง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าแรงจากการยืดตัวของสปริงและช็อคอับจะส่งผ่านแกนยึดเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ





ช็อคอับที่ใช้เป็นแบบแก็สกระบอกเดี่ยวเช่นเดียวกับระบบกันสะเทือนหน้า เพื่อให้การซับแรงกระแทกและการส่งผ่านอาการของล้อไปหาผู้ขับข
ี่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ซับเฟรมเหล็ก hydroformed ซึ่งต่อเชื่อมกับระบบกันสะเทือนโดยตรงกับโครงสร้างตัวถัง รวม 6 จุด เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและแน่นหนาให้กับแชสซี





ผมไม่แปลกใจแล้วว่า ทำไมอาการเหนื่อยล้าสะสม ที่ผมคาดว่าจะพบ
จากการขับขี่ MX-5 น้อยกว่าที่คิด ไม่รู้สึกเหนื่อยล้าสะสมมากเท่าตอน
ลงจากมินิ คูเปอร์ เพราะระบบกันสะเทือนถูกเซ็ตมาให้นุ่มนวลกว่ากัน
เล็กน้อย





เพราะในขณะที่คุณขับ มินิ คุณจะเจอความแข็งกระด้าง และก่อความเหนื่อยล้าในการขับขี่
ต่อให้ขับสนุกขนาดไหน พวงมาลัยที่หนักอึ้ง ในย่านความเร็วต่ำมากไปเช่นนั้น คงไม่อาจก่อความสนุก
ให้คุณได้ เมื่อต้องขับข้ามทางรถไฟ หรือหลุมบ่อใดๆที่ชวนให้ระบบกันสะเทือน สะท้อนสัมผัสอันแข็งกระด้างจากก้อนหิน
ขึ้นมายังห้องโดยสาร





แต่ใน MX-5 คุณสามารถขับแล่นผ่านทางแยกข้ามทางรถไฟ ด้วยความ "นุ่มนวลกว่ากันเล็กน้อย แต่รู้สึกได้อย่างชัดเจน"





ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นราวกับว่า จงใจออกแบบระบบกันสะเทือนให้เอาใจผู้ใหญ่
มากขึ้นเล็กน้อย ไปด้วย นอกเหนือจากเอาใจสาวๆ
ขณะที่การเข้าโค้ง บนทางด่วน ด้วยความเร็วสูง ก็ยังคงทำได้อย่างวิเศษ





ส่วนระบบเบรก ยังคงเป็นเหมือนเดิม
ระยะแป้นเบรกถูกปรับปรุงจาก 4.1 เหลือ 2.9 เพื่อให้ผู้ขับขี่รู้สึกถึงการจับตัวระหว่างผ้าเบรกกับจานเบรกได้เร็วยิ่งขึ้น





จานเบรกหน้า เพิ่มขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางให้ใหญ่โตขึ้นอีก 20 มิลลิเมตร (0.78 นิ้ว) เป็น 290 มิลลิเมตร (11.4 นิ้ว) ขณะที่จานเบรกหลังถูกขยายขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเพิ่มขึ้นเพียง 4 มิลลิเมตร ( 0..16 นิ้ว) เป็น 280 มิลลิเมตร (11 นิ้ว) รูระบายอากาศของจานเบรกคู่หน้ามีความหนาถึง 22 มิลลิเมตร (0.87 นิ้ว) ขณะที่จานเบรกคู่หลังมีความหนา 10 มิลลิเมตร (0.40 นิ้ว) ลูกสูบขนาดเล็กในคาลิปเปอร์เบรกหลัง มีขนาดแส้นผ่าศูนย์กลาง 3.3 มิลลิเมตร (0.13 นิ้ว) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการหยุดรถที่สมดุลระหว่างเบรกคู่หลัง





ระบบ ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake force Distribution ) จะสั่งการให้ระบบเบรกคู่หลังทำงานมากขึ้นกว่าปกติในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่ออาการล้อล็อก ดังนั้น vacuum booster จึงต้องมีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่ขึ้น 25 มิลลิเมตร (1.0 นิ้ว) เพื่อรองรับสถานการณ์ที่จำเป็นต้องเหยียบเบรกอย่างกระทันหันและรุนแรง ความแม่นยำในการตอบสนองถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นจากรุ่นก่อน คาลิปเปอร์ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มีความทนทานเพิ่มขึ้นถึง 25 เปอร์เซ็นต์ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตอบสนองยิ่งขึ้น





การตอบสนองในทุกจังหวะที่ต้องลดความเร็ว ทั้งแค่ชะลอรถ
ไปจนถึงการหน่วงความเร็ว ลงอย่างฉับพลัน ทำได้อย่างประเสริฐ
และมั่นใจได้ โดยไม่ชวนให้หวาดเสียวเลย แม้จะต้องชะลอรถจากความเร็ว
160 กิโลเมตร/ชั่วโมงลงมาอย่างรวดเร็ว จากสถานการณ์สภาพจราจรข้างหน้าก็ตาม








เรื่องระบบกันสะเทือนนั้น วิธีวัดที่ดีที่สุด
คือการทดลองกับไข่





คุณพ่อของผมจะต้องทานไข่ขาววันละหลายๆฟอง
เพื่อช่วยในเรื่องของไต ตามประสาของผู้ป่วยโรคไต และเบาหวาน
รวมทั้งโรคหัวใจ





เช้าวันอาทิตย์ เราจึงขับรถกันไปที่ตลาดสี่แยกบางนา
ซื้อไข่จำนวน รวมแล้ว 60 ฟอง กลับบ้าน





โอกาสนี้ ช่างดีมากในการทดลองระบบกันสะเทือนของรถสปอร์ตคันนี้....





ไข่ไก่ที่เห็นทั้งหมดนี้ มาในสภาพที่เห็นอยู่นี้ มีอย่างมากสุดแค่เศษกระดาษหนังสือพิมพ์รองก้นไว้เท่านั้น
ส่วนด้านข้างไม่มีวัสดุกันกระแทกใดๆ อีกทั้งในห้องเก็บของด้านหลังมีกระเป๋ากล้อง และ กล่องใส่ ซิการ์
ซึ่งถูก คุณพิชัย ปัญญาเสวนมิตร แห่งผ้าเบรก Dan Block และ Zytec แปลงสภาพบรรจุเครื่อง G-Meter
ที่ให้ผมยืมมาทดลองวัดข้อมูลของตัวรถในภาพรวม คร่าวๆ ซึ่งกล่องเหล็กนี้ ก็ถูกวางไปพร้อมๆกับไข่ 2 ถุงนี้ด้วย








เราคลานออกมาจากด้านในของตลาดสี่แยกบางนา
ซึ่งมีลูกระนาด 2-3 จุด และถนนปูน ที่มีสภาพทรุดโทรมไปมากหลุมบ่ออีกไม่น้อย





ขับออกมาจากสี่แยกบางนา มาเลี้ยวซ้ายขึ้นสะพานข้ามแยก วงเข้าสู่เส้นบางนา-ตราด
ด้วยความเร็วระดับ 100-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง จนถึงกิโลเมตรที่ 7
ก็เข้าทางคู่ขนาน รวมทั้ง เลี้ยวซ้ายเข้าไปในหมู่บ้าน ซึ่งมีเนินลูกระนาด บนถนนปูน
ที่มีความขรุขระอยู่ไม่น้อย....





เมื่อเปิดฝากระโปรงหลังออกมา จากที่สำรวจดูไข่ทุกใบ พบว่า มีเพียงใบที่เห็นอยู่นี้
เพียงใบเดียวเท่านั้นที่มีรอยปริแตก....





พอจะยืนยันคร่าวๆ อย่างไม่จริงจังอะไรนัก ถึงประสิทธิภาพของระบบกันสะเทือนได้บ้างไหมครับ?








ทัศนวิสัยรอบคันนั้น เห็นได้ชัดเจน
และสำหรับใครที่ชอบขับรถแล้วยังมองเห็นฝากระโปรงหน้า
รถคันนี้ มีส่วนหน้าที่เชิดขึ้นกำลังดี พอที่จะเอาใจความชื่นชอบนี้ครับ





โปรดสังเกตระดับ และความสูงของตัวรถ จากระดับสายตา
เมื่อเปรียบเทียบกับรถคันรอบข้าง







ส่วนด้านข้่างนั้น กระจกมองข้าง เหมือนจะมีขนาดเล็ก แต่ก็ยังคงมองรถที่มาทางด้านหลัง








ฝั่งซ้าย เสาหลังคาด้านข้าง ไม่ได้มีการบดบังเท่าใดนัก โดยเฉพาะการเลี้ยวกลับรถ








แต่ถ้าหันไปทางด้านหลัง แน่นอนว่า หากหันไปทางซ้าย ทัศนวิสัย จะสะดวกต่อการมองรถที่มาจากทางด้านหลังฝั่งซ้ายอย่างมาก





แต่พอเหลียวมามองด้านขวา เสาหลังคาจะบดบัง จนคุณต้องโน้มตัวมาข้างหน้า หากยังคงจะเหลียวมองไปที่รถซึ่งมาจากทางด้านหลังฝั่งขวาต่อไป








*** การทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ***





ครั้งนี้เราได้น้องโจ๊ก สมาชิกอีกคนในห้อง pantip.com กลุ่มรัชดา มาเป็นผู้ช่วย และผู้โดยสารถ่วงน้ำหนัก
รวมแล้วประมาณไม่เกิน 150 กิโลกรัม
ตามมาตรฐานเดิม คือ การจับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย "คร่าวๆ"
ด้วยการเติมน้ำมัน จากปั้มน้ำมันย่านพระราม 6
ก่อนจะขึ้นทางด่วน ไปลงยังปลายสุดทางด่วนสายเชียงราก
ขับด้วยความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ และนั่งไปกัน 2 คน
ทั้งคนขับและผู้โดยสาร 1 คน
แล้วเลี้ยวกลับมาขึ้นทางด่วน ขับย้อนกลับมาตามเส้นทางเดิม
ลงทางด่วนที่พระราม 6 แล้วย้อนกลับไปเติมน้ำมัน ที่ปั้มเดิม ตู้เดิมและหัวจ่ายเดิม อีกครั้ง








บรรยากาศ ขณะขับขี่ ถนนค่อนข้างโล่ง
กระแสลมมีประปราย ในบางช่วง และทดลองกันในช่วงกลางวัน




ตัวเลขที่ออกมามีดังนี้





ระยะทางที่แล่น ตามมาตรวัด.......88.9 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ................5.454 ลิตร





อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย...... 16.29 กิโลเมตร / ลิตร





ใครบางคนบอกผมว่า อยากได้ MX-5 ไปติดแก้ส LPG
ผมอยากจะถามเขาจริงๆเลยว่า คิดอะไรอยู่นั่น?
ประหยัดขนาดนี้ ทำตัวเลขดีกว่า ซับ-คอมแพกต์ 1.5 ลิร ทุกคันที่ผมลองมา
และแน่นอนว่า น้ำหนักที่เบาแบบนี้ ต้านลมน้อย โครงสร้างมีขนาดเล็ก
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจึงออกมาดีขนาดนี้





แล้วยังอยากจะติดแก้สอีกเหรอ??








 ***สรุป***


 



*** ประทับใจ จนลืม มินิ คูเปอร์ เอส ไปเลย ***
 


4 ปีที่ผ่านมา ที่ผมทำรีวิวรถลงในอินเตอร์เน็ต อย่างจริงจังมาโดยตลอด





ยอมรับเลยว่า รถคันนี้คือรถคันที่ผม ชื่นชอบมากที่สุด ในทุกด้าน
เพราะผสมผสานทุกรายละเอียดไว้อย่างลงตัว ในราคาที่
ไม่ได้แพงมากจนเกินกว่าใครจะเอื้อม


และยิ่งเมื่อมีหลังคาไฟฟ้าพับได้มาให้แล้ว ยิ่งทำให้ตัวรถดูศิวิไลซ์มากขึ้น



แม้ว่าหลายคนอาจจะบ่นถึง ความดิบเถื่อนในแบบของ MX-5 รุ่นแรก NA จะลดน้อยลงไปบ้างก็ตาม
แต่ก็ยังถือว่า นี่คือ MX-5 ที่คุณเป็นเจ้าของได้ โดยไม่บ่น"ในเรื่องสมรรถนะของตัวรถ" เลยแน่ๆ
ถ้าคุณไม่ใช่นักขับแบบ เห็นถนนเมื่อใด เป็นต้องกด 180 กิโลเมตร/ชั่วโมงกันตลอดศก
ถ้าคุณเป็นคนแบบนั้นมองหารถคันอื่นเถอะครับ รถขับสนุกๆคันนี้ ไม่เหมาะกับคุณ
ที่ชอบอัดรถทางตรงเป็นหลักแน่ๆ






ถึงจะมีหลังคาแข็งพับได้ หนัก 40-50 กิโลกรัมเพิ่มเข้ามา แทนที่หลังคาผ้าใบ
แต่ MX-5 รุ่นนี้ ก็ยังคงเป็นเนื้อย่างโกเบ ระดับ Medium rare สุกๆดิบๆกำลังดี และเอาใจสาวๆ มากขึ้น
แต่ยังคงความดิบเอาไว้ เอาใจผู้ใหญ่ อายุ 30 ขึ้นไป ได้อย่างสมบูรณ์ลงตัว และไม่รู้จะหาที่ติอะไร
ในช่วงที่ยังเป็นรถป้ายแดง



ถ้าให้พูดกันตรงๆ ค่าตัว 2,549,000 บาท ที่คุณจะต้องจ่ายออกไป
แลกกับสิ่งที่คุณได้รับกลับมา ผมว่า มันไม่ใช่แค่คำว่า "ไม่เลวทีเดียว"
อันเป็นถ้อยคำที่ ถนอมเนื้อถนอมตัว มากไปหน่อย ของสื่อมวลชนสายรถยนต์รายอื่นๆ
ที่เคยเขียนถึงรถคันนี้







เพราะผมกลับคิดว่า เงินจำนวนนี้ มันคุ้มค่าพอ สำหรับใครสักคนที่ รวย โสด
ใช้ชีวิตอิสระ ไม่ค่อยคิดเหมือนใคร อยากได้รถที่ทั้งใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน
และรวมวามต้องการเอาไว้ แทบจะ All in one จะเว้นเสียก็แต่ว่า คุณต้องแน่ใจตัวเองว่า
ไม่ใช่พวกบ้าหอบฟาง หรือมีสารพัดโปรเจกต์ ที่ต้องบรรทุกตามคุณไปด้วย
เพราะ ถ้าคุณต้องการรถแบบนั้น MX-5 ตอบโจทย์คุณไม่ได้แน่ และมองข้ามมันไปอย่างน่าเสียดาย คือสิ่งที่คุณคงต้องทำด้วยความจำใจ


รถคันนี้ อาจเป็นรถคันเดียว หรือคันที่ 2 ของคุณก็ได้ เพราะถ้าผมจำไม่ผิด
ผมเคยเห็น คุณ สินนภา สารสาส ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเสียงในแวดวงโฆษณา และดนตรี
ใช้ MX-5 เป็นรถคันเดียวของเธอมาก่อน

แค่ลองขับสักครั้ง มันจะทำให้คุณ ลืมความอยากได้ มินิ คูเปอร์ และ คูเปอร์ เอส
ที่มีราคาแพงเกินความจริงไปได้ เกือบจะหมดสิ้น หากเราไม่นับเรื่องงานออกแบบ
ทั้งภายในและภายนอกของมินิ รวมทั้ง บุคลิกของตัวรถที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
มาเปรียบเทียบด้วยกัน
"โดยเป็นการเปรียบเทียบกัน ด้วยการมองถึง ราคาที่ต้องจ่ายออกไปในระดับเดียวกันเป็นหลัก" แล้ว






เพาะมินิ เป็นรถขับล้อหน้า และมีหลังคาแข็งแม้จะมีซันรูฟให้เลือกติดตั้ง
แต่ก็ไม่อาจชวนให้หลงรักได้เท่ารถเปิดประทุนขับล้อหลัง เครื่องยนต์ 2,000 ซีซี
กระจายน้ำหนัก เกือบๆจะ 50:50 คันนี้ ได้หรอก



แต่ที่แน่ๆ มินิ ยังเอื้ออำนวยให้คุณพาเพื่อนฝูงไปสนุกกันได้มากกว่า 2 คน
ในขณะที่ MX-5 หากคิดจะนั่งเบียดกันที่เบาะคนนั่งยังพอได้
แต่เราไม่แนะนำ เพราะนั่นจะมีผลต่อความปลอดภัย เพราะเข็มขัดนิรภัยเขาออกแบบมา
รองรับแค่คนเพียงคนเดียวเท่านั้น





อีกทั้ง เงินก้อนนี้ คุณจะได้รถประกอบจากโรงงานฮิโรชิมาในญี่ปุ่น ซึ่งถือว่า ความใส่ใจด้านคุณภาพ จำพวก Craftmanship นั้น
โดดเด่นเป็นอันดับต้นๆของวงการรถยนต์ญี่ปุ่นเลยทีเดียว



ถ้าคุณต้องจ่ายเงินจำนวนนี้ให้กับเมอร์เซเดส-เบนซ์ หรือบีเอ็มดับเบิลยู ในตอนนี้ คุณจะต้องเพิ่มเงินถึง 3 แสนบาท
และจะได้รับกลับคืนมาอย่างมากสุด แค่ ซีรีส์ 3 หรือ ซี-คลาส ประกอบในประเทศ 1 คัน มาพร้อมออพชันที่อาจให้ความหรู แต่ก็ยังเป็นแค่ระดับพื้นฐาน



เงินของคุณครับ ไม่ใช่เงินของผม ตัดสินใจกันเอาเอง ผมไม่เกี่ยว

J!MMY
21 ตุลาคม 2007
16.00 น.